ไรขี้เรื้อนสุกร (Swine mange) รู้จักกันดีว่าเป็นโรคที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมากในฟาร์มสุกรถึงแม้จะไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้สุกรตายเหมือนโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส แต่ก็ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ ในระบบการเลี้ยงสุกรเป็นมูลค่าไม่น้อย อาทิเช่น ลดการกินได้โดยเฉพาะในสุกรขุนแลแม่เลี้ยงลูก, ลดประสิทธิภาพการใช้อาหาร FCR เพิ่มขึ้น 10%, ลดปริมาณการสร้างน้ำนมในแม่สุกร (Schultz, 1986) ลดการเจริญเติบโตในสุกรรุ่นถึง 19% ในระบบการเลี้ยงแบบจำกัดอาหาร (Martelli and Beghiam,1990) ADG ลดลง 7% ในระบบการเลี้ยงแบบให้เต็มที่ (Arendetall,1990) ลดคุณภาพซาก (Dobson and Davis, 1992) นอกจากนั้นยังมีผลทางอ้อมในการลดอายุการใช้งานของกรงอีกด้วย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโรคไรขี้เรื้อนสุกรเป็นภัยที่แฝงอยู่ในฟาร์มที่คอยบั่นทอนผลกำไรในการเลี้ยงสุกรเป็นอย่างยิ่ง
ปัญหามีไว้ให้แก้….. เป็นที่ทราบกันดีว่าในฟาร์มสุกรจำเป็นจะต้องมีมาตรการในการกำจัดไรขี้เรื้อนอย่างจริงจัง ซึ่งก็มีหลายทางเลือกที่สามารถทำได้ เช่นการใช้ยาฉีด,การผสมยาในอาหาร และการพ่นยาที่ตัวสุกรโดยตรง เป็นต้นในแต่ละทางเลือกก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันออกไป
ทางเลือกใน การกำจัดไรขี้เรื้อน |
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|---|
ยาฉีด | - สะดวก - สุกรได้รับยาแน่นอน |
- กำจัดได้เฉพาะบนตัวสุกรและอาจไม่ทั่วถึง - สุกรเครียดจากการฉีดยา - ต้นทุนต่อตัวสูง |
ยาผสมอาหาร | - สะดวก - สุกรไม่เครียด |
- กำจัดได้เฉพาะบนตัวสุกรและอาจไม่ทั่วถึง - สุกรที่ไม่กินอาหารอาจไม่ได้รับยา - ต้นทุนต่อตัวสูง |
ยาพ่น | - กำจัดไรขี้เรื้อนได้ทั้งบน ตัวสุกรและบนบริเวณครอก - ต้นทุนต่อแม่ต่อปีต่ำ |
- ระคายเคืองสูง แสบ กลิ่นเหม็น สุกรเครียด ซึม ภูมิคุ้มกันโรคตก - เสี่ยงต่อการเกิดการแท้งลูก - การกลับมาของไรขี้เรื้อนเร็ว ต้องพ่นบ่อยๆ เปลืองแรงงาน - ต้องปิดน้ำและเก็บอาหารตอนพ่น ยกเว้น ยาที่มีความปลอดภัยทั้งสื่อและสารออกฤทธิ์ |
ผลิตภัณฑ์ต้องดีพอ….. นอกจากวิธีในการกำจัดแล้วตัวผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆโดยเฉพาะการพ่นยาบนตัวสุกรเพราะปกติตัวไรขี้เรื้อนจะอาศัยอยู่ใต้ผิวหนังของสุกร ดังนั้นการกำจัดตัวไรขี้เรื้อนก็จำเป็นที่จะต้องพ่นยาลงบนตัวสัตว์อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะบริเวณหน้าและหูซึ่งเป็นบริเวณที่ตัวไรอาศัยอยู่มาก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง ปลอดภัยและได้ผลจริง ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กำจัดไรขี้เรื้อนสุกรประเภทผสมน้ำแล้วพ่นใส่ตัวสุกรมีมากมายหลายชนิดให้เลือก สิ่งที่ผู้ใช้ควรพิจารณามีด้วยกัน 3 ประเด็นหลัก คือ
ตารางเปรียบเทียบค่าความปลอดภัย (LD50)
สารเคมี | ค่าความปลอดภัย (LD50) |
อะมิทราส | 800 |
ไดอะซีนอน | 85-135 |
ไซเปอร์เมธริน | C79-C250 |
ดีดีที | 113 |
อีโทเฟนพร๊อกซ์ | 42,800 (>10,000 ; IPCS) |
เกลือ | 3,000 |
สื่อ (Solvent) | ผลกระทบเมื่อสัตว์สัมผัส |
ไซลีน (EC) | ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา จมูกและคอ หายใจลำบาก ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน เวียนหัว มึนงง เกิดการเปลี่ยนแปลงในตับ มีผลเสียต่อไต ปอด หัวใจ และระบบประสาท ถ้าสัตว์อุ้มท้องสัมผัสกับ ไซลีนในระดับสูง อาจก่อให้เกิดความผิดปกติต่อการสร้างกระดูกของตัวอ่อน และ อาจเกิดการแท้งเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลจาก Toxicological Profile for Xylene August 1995 Update Agency for Toxic Substance and Disease Registry United States Public Health Service. http://www.eco-usa.net/toxics/xylene.shtml |
น้ำ Emulsified Oil in Water(EW) |
ไม่มีผลในทางลบ |
เปรียบเทียบการละลายเมื่อเทลงน้ำ(โดยไม่ต้องคน)ของสินค้าที่บอกว่าสูตรน้ำเหมือนกัน
คุ้มหรือไม่ ? หากกำจัดไรขี้เรื้อน…..แต่ต้องสูญเสียภูมิคุ้มกันโรค อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าผลิตภัณฑ์กำจัดไรขี้เรื้อนที่ดีนั้นต้องใช้แล้ว ปลอดภัยและได้ผลจริง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต้องคำนึงถึง 3 ประเด็นหลักที่กล่าวมาไม่เช่นนั้น การกำจัดไรขี้เรื้อนสุกรแต่ละครั้ง อาจเป็นการทำลายภูมิคุ้มกันโรคของสุกร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางฟาร์มลงทุนอย่างมากที่จะทำให้สุกรมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ก็เป็นได้
ผลิตภัณฑ์ | ผลการรักษาไรขี้เรื้อน | ผลกระทบต่อตัวสุกร |
- สารออกฤทธิ์ไม่ปลอดภัย - สื่อหรือตัวทำละลายไม่ปลอดภัย - สูตรหรือเทคโนโลยีการผลิตดี |
- ได้ผล | - แสบเหม็น ระคายเคือง - สุกรเครียด - มีการแท้งลูก - ภูมิคุ้มกันโรคตก |
- สารออกฤทธิ์ปลอดภัย - สื่อหรือตัวทำละลายไม่ปลอดภัย - สูตรหรือเทคโนโลยีการผลิตดี |
- ได้ผล | - แสบเหม็น ระคายเคือง - สุกรเครียด - มีการแท้งลูก - ภูมิคุ้มกันโรคตก |
- สารออกฤทธิ์ปลอดภัย - สื่อหรือตัวทำละลายปลอดภัย - สูตรหรือเทคโนโลยีการผลิตไม่ดี |
- ไม่ได้ผล | - ไม่มีผลกระทบ |
- สารออกฤทธิ์ปลอดภัย - สื่อหรือตัวทำละลายปลอดภัย - สูตรหรือเทคโนโลยีการผลิตดี |
- ได้ผล | - ไม่มีผลกระทบ |
พ่นได้ พ่นได้……..ถามหมูหรือยัง ? สุกรก็คงไม่ต่างอะไรกับคนเราที่หากสัมผัสสารที่ไม่ปลอดภัยก็คงส่งผลให้เกิดความเครียด ไม่สบายตัวและมีผลต่อภูมิคุ้มกันโรคเช่นเดียวกับคน เพียงแต่สุกรเค้าพูดไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นการที่จะทราบได้ว่าผลิตภัณฑ์ใดปลอดภัยมากพอที่จะพ่นใส่ตัวสุกรได้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ผลงานวิจัยที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นพ่นใส่ตัวสุกรแล้วสุกรไม่เกิดความเครียด ไม่ใช่เพียงแค่คนขายบอกว่าปลอดภัยพ่นได้เท่านั้น อาจจะดูเป็นตลกร้ายที่ว่า หากคนขายบอกว่ายาตัวเองปลอดภัยพ่นใส่ตัวสุกรได้คนซื้อน่าจะถามกลับไปว่า “ ถ้าปลอดภัย…..แล้วคนขายกล้าพ่นใส่ตัวเองและทิ้งไว้เหมือนกับที่พ่นหมูหรือไม่ ? ”…………….เพราะหมูกับคนคงได้รับผลไม่ต่างกัน!!!